บทความเลี้ยงลูกวัยเด็ก | บทความเลี้ยงลูกวัยรุ่น

เลี้ยงลูกให้ฉลาด ความฉลาดหลากหลาย

เลี้ยงลูกให้ฉลาด

การมองความฉลาด หรือเซาวน์ปัญญาของคนเราโดยดูจากค่าไอคิวเท่านั้น เป็นการมองที่จำกัดมาก แท้จริงแล้ว คนเราแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ อาจมีความสามารถหลายอย่าง ความฉลาดของคนเราไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะการเรียนอย่างเดียวหรือวัดได้จากการทำทดสอบไอคิวเท่านั้น

เลี้ยงลูกให้ฉลาด รู้จักความฉลาด 3 ด้าน


Robert J.Sternberg (1986) ได้ตั้งทฤษฎีที่เรียกว่า Triarchic Theory ซึ่งกล่าวว่าความฉลาด มี 3 ด้าน คือ

1.ความฉลาดเชิงความคิด

ความฉลาดด้านนี้เรียกว่า componential intelligence หมายถึงความสามารถที่จะได้มาซึ่งความรู้และข้อมูลต่างๆ ความสามารถในการบูรณาการ วิเคราะห์และนำข้อมูลนั้นไปใช้ รวมทั้งความสามารถในการวางแผนตัดสินใจ แก้ปัญหาและถ่ายทอดความคิดออกมาเป็นการกระทำ การพูดหรือการเขียนคำว่า ‘ไอคิว-I’ โดยทั่วไปหมายถึงความฉลาดด้านนี้และการทดสอบไอ
คิวที่ทำกันอยู่จะวัดความฉลาดด้านนี้

อ่านดเพิ่มเติมเรื่องไอคิว

2. ความฉลาดเชิงประสบการณ์

ความฉลาดด้านนี้เรียกว่า Experiential intelligence เป็นความสามารถที่จะแก้ปัญหาใหม่ๆได้อย่างรวดเร็ว การมีความเข้าใจที่ลึกซึ้งในสิ่งรอบตัว และมีความคิดสร้างสรรค์

3.ความฉลาดเชิงบริบท

ความฉลาดด้านนี้เรียกว่า contextual inteligence เป็นความฉลาดและรู้เท่าทันในการใช้ชีวิต เป็นความรู้ที่สามารถนำมาปฏิบัติในชีวิตจริงได้ อาจเรียกว่าเป็นความฉลาดเชิงปฏิบัติ (practical intelligence) บุคคลที่มีความฉลาดแบบนี้จะเอาตัวรอดได้ดี รู้จักเข้ากับผู้อื่น รู้จักวิธีแก้ปัญหาและจัดการกับเรื่องจิปาถะในชีวิตประจำวันได้ดี ความฉลาดแบบนี้ทำให้บุคคลใช้ชีวิตอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงได้ ตัวอย่างเช่น เด็กที่อยู่ข้างถนนมีความฉลาดในการเอาตัวรอดและในการใช้ชีวิตแต่ละวันตามข้างถนน แม้จะเรียนหนังสือได้ไม่ดีก็ตาม

ความฉลาด 8 ด้าน

คนเรามีความฉลาดหรือความสามารถที่แตกต่างกันอย่างหลากหลายแต่ละคนสามารถใช้ความฉลาดที่แตกต่างกันนี้ทำสิ่งดีๆให้กับโลกนี้ได้มากมายไม่ว่าจะเป็นในฐานะจิตรกร ศิลปิน สถาปนิก นักดนตรี นักธรรมชาติศึกษา นักออกแบบ นักเต้น ผู้ประกอบการ นักวิจัย หรือช่างก่อสร้าง เป็นต้น

Howard Gardner ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้ตั้งทฤษฎีเกี่ยวกับความฉลาดหลากหลาย หรือ
Theory of Multiple Intelligences ทฤษฎีนี้กล่าวว่าความฉลาดมีอยู่ 8 ด้านคือ

1. Linguistic intelligence (“word smart”) ความฉลาดทางภาษา
ผู้ที่มีความฉลาดด้านนี้ (หรืออาชีพที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ นักเขียน นักหนังสือพิมพ์ นักกฎหมาย นักอรรถบำบัด ผู้ประกาศข่าว

2. Logical-mathematical intelligence (“number/reasoning smart”) ความฉลาดทางตรรกะ-คณิตศาสตร์
ผู้ที่มีความฉลาดด้านนี้ ได้แก่ นักสถิติ นักบัญชี นักวิเคราะห์ข้อมูล

3. Visual-spatial intelligence (“picture smart”) ความฉลาดทางภาพ-มิติ
ผู้ที่มีความฉลาดด้านนี้ ได้แก่ สถาปนิก มัณฑนากร จิตรกร นักออกแบบเสื้อผ้า

4. Bodily-kinesthetic intelligence (“body smart”) ความฉลาดทางการเคลื่อนไหว
ผู้ที่มีความฉลาดด้านนี้ เช่น นักยิมนาสติก นักเต้นบัลเล่ต์

5. Musical- rhythmic intelligence (“music smart”) ความฉลาดทางดนตรี
ผู้ที่มีความฉลาดด้านนี้ ได้แก่ นักดนตรี นักร้อง วาทยากร

6. Naturalistic intelligence (“nature smart”) ความฉลาดเกี่ยวกับธรรมชาติ
เช่น สามารถสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติ มองเห็นรูปแบบแบบแผน (pattern) หรือความเชื่อมโยงกันในสภาพแวดล้อม ผู้ที่มีความฉลาดด้านนี้ได้แก่ นักธรรมชาติศึกษา นักชีววิทยา นักดาราศาสตร์ เป็นต้น

7.Interpersonal intelligence (“people smart”) ความฉลาดระหว่างบุคคล
เช่น มีความสามารถในการติดต่อสัมพันธ์กับบุคคลอื่น ผู้ที่มีความฉลาด=ด้านนี้ ได้แก่ ผู้จัดการ นักจิตวิทยา

8. Intrapersonal intelligence (“self smart”) ความฉลาดภายในตน
หมายถึง มีความสามารถที่จะเข้าใจตนเองและจัดการกับอารมณ์ของตนเองได้ดีผู้ที่มีความฉลาดด้านนี้ ได้แก่ จิตแพทย์ นักจิตวิทยา นักให้คำปรึกษาความฉลาดในสองประการหลังนี้ก็คือสิ่งที่เราเรียกว่า ความฉลาดทางอารมณ์ หรือ emotional intelligence ซึ่งมักเรียกกันง่ายๆว่า อีคิว (E.Q.)

ความผิดพลาดของระบบการศึกษา

ในการเรียนการสอนโรงเรียนส่วนใหญ่เน้นที่ความฉลาดทางภาษา (Lin-guistic intelligence) การคิดเชิงเหตุผลและการคำนวณ (Logical-mathematical intellgence) เราให้คุณค่าต่อความสามารถในด้านนี้สูงมาก จนละเลยเด็กที่มีความสามารถด้านอื่นเด็กจำนวนมากมีความสามารถ แต่ไม่มีใครเห็นคุณค่าเด็กบางคนอาจถูกเรียกว่า เป็นเด็กที่มีปัญหาหรือเป็นเด็กพิเศษ เพราะมีความสามารถที่ต่างไป มีวิธีคิดและเรียนรู้ที่เก่งในด้านอื่นไม่ใช่ด้านภาษา การคำนวณ หรือการ
คิดเชิงเหตุผลแบบที่โรงเรียนหรือพ่อแม่ทั่วไปเน้นกัน

เอาทฤษฎีไปใช้

ทฤษฎีเกี่ยวกับความฉลาดหลากหลาย หรือ Theory of Muliple Intellgences ซึ่งกล่าวว่าความฉลาดมีอยู่ : ด้านนี้มีประโยชน์มาก โดยเฉพาะทำให้เรมีมุมมองกว้างขึ้นดังนี้

1. ทฤษฎีนี้บอกว่า ความฉลาดมีหลายแบบ ดังนั้น จงคันหาดูในตัวลูกของคุณ
2. การที่ความฉลาดมีหลายแบบ แปลว่า คนเราเรียนรู้ได้หลากหลายวิธี ดังนั้น อย่าจำกัดการเรียนรู้ของลูกไว้กับวิธีเดิมๆ หรือกับวิธีเดียว เช่น แค่ท่องหนังสือตามที่ครูสอนเท่านั้น
3. เราพัฒนาความฉลาดด้านอื่นได้อีก ดังนั้น อย่าหมดหวังหากลูกเรียนหนังสือไม่เก่ง

เลี้ยงลูกให้มีความฉลาดหลายด้าน ขอแนะนำหลักสูตรออนไลน์ “เลี้ยงลูกใหม่ ปั้นให้ดี”
และ “หลักสูตรดูแลลูกสมาธิสั้น”

Similar Posts