หากน้ำตาของฉันพูดได้ มันจะบอกว่าอย่างไร?

บ่ายนี้นั่งเครื่องบินจากเฉินตูกลับกรุงเทพฯ เพราะไม่ได้อยู่เมืองไทยเสียหลายวัน อยากรู้ข่าวคราวเมืองไทยมาก พอเดินไปถึงประตูเครื่องก็รีบคว้าหนังสือพิมพ์ ไทยมาหนึ่งฉบับ พอเข้านั่งที่ รัดเข็มขัดเรียบร้อยก็รีบเปิดอ่าน
หน้าแรกเป็นภาพประชาชนนับแสนร่วมจุดเทียนร้องเพลง “สรรเสริญพระบารมี” ณ ท้องสนามหลวง มองภาพนี้แล้วน้ำตาก็ไหลออกมา รีบหากระดาษทิชชู่เช็ดแทบไม่ทัน อันที่จริงก็ร้องไห้เงียบๆมาหลายยกแล้ว ครั้งนี้เลยแปลกใจตัวเองที่ยังคงร้องไห้อีก
ถามตัวเองด้วยประโยคที่เคยถามคนไข้บ่อยๆเวลาทำจิตบำบัด
“หากน้ำตาของฉันพูดได้ มันจะบอกว่าอย่างไร?”
แล้วก็ตอบตัวเองว่า น้ำตานี้คือความโศกเศร้า คือความสูญเสีย คือความอาลัย
แล้วก็ถามตัวเองต่อว่า แล้วฉันจะร้องไห้ไปอีกนานแค่ไหน? ฉันจะปล่อยให้ตัวเองอยู่กับความโศกเศร้าความสูญเสียไปอีกนานแค่ไหน?
ในนาทีที่ถามคำถามนี้ ใจก็นึกขึ้นได้ว่า แท้จริงแล้วน้ำตานี้คือน้ำตาแห่งความปิติด้วยเช่นกัน
ความปิติที่ในชีวิตหนึ่งที่เกิดมา ได้มีโอกาส เป็นลูกของ “พ่อ” ผู้ยิ่งใหญ่ พ่อผู้เปี่ยมไปด้วยความรักและความเมตตา พ่อผู้เสียสละเพื่อลูกเสมอมา
นับเป็นมหามงคลของชีวิตโดยแท้
สัญญากับตัวเองว่า ตั้งแต่นี้ไปหากจะร้องไห้ น้ำตานี้จะเป็นน้ำตาแห่งความปิติ แห่งความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้
ไม่ใช่น้ำตาแห่งความทุกข์โศกอีกต่อไป